ทันตแพทย์เด็กที่ดีควรมีอะไรบ้าง

ทันตแพทย์เด็กที่ดีควรมีอะไรบ้าง

ทันตแพทย์เด็กหรือหมอฟันเด็ก เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาฟันให้แก่เด็กตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้นช่วงอายุ 6 เดือน – 12 ปี เนื่องจากระบบฟันของเด็กที่ยังไม่แข็งแรงมากเท่าฟันผู้ใหญ่ที่เป็นฟันแท้ จึงมีโอกาสฟันผุมากกว่าและจำเป็นต้องได้รับการดูแลจนกว่าฟันแท้จะขึ้นแล้วจึงสามารถรักษากับทันตแพทย์ผู้ใหญ่ได้ตามช่วงวัย

ทันตแพทย์เด็กที่ดีควรมีอะไรบ้าง

  1. สำเร็จการศึกษามาจากทันตแพทยศาสตรบัณฑิตโดยตรง อย่างแรกเลยทันตแพทย์เด็กทุกคนจะต้องสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรทันตแพทยศาสตรบัณฑิต และศึกษาต่อสาขาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เกี่ยวข้องทางด้านทันตกรรมเด็กโดยตรง นอกจากทันตแพทย์เด็กทุกคนจะมีความรู้เกี่ยวกับฟันและอวัยวะในช่องปากอื่นๆ ของเด็ก และสามารถตรวจฟัน วินิจฉัย ดูแลรักษาโรคในช่องปากและอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แล้วยังต้องเรียนรู้ด้านจิตวิทยาสำหรับเด็กด้วย
  2. มีประสบการณ์การทำงานเป็นเวลานาน ด้วยตัวหลักสูตรของทันตแพทยศาสตรบัณฑิต ทำให้ทันตแพทย์เด็กทุกคนมีประสบการณ์ในการทำฟันตั้งแต่ช่วงชั้นปีที่ 4 ไปจนถึงปี 6 โดยเริ่มจากการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านทันตกรรมเบื้องต้นตามคลินิก และฝึกปฏิบัติงานภาคสนามทางทันตกรรมชุมชน เมื่อสำเร็จการศึกษาหมอฟันเด็กสามารถปฏิบัติงานตามคลินิกทันตกรรมเด็กได้ทันที
  3. มีหลักจิตวิทยาในการพูดคุยเพื่อไม่ให้เด็กกลัวการทำฟัน เนื่องจากทันตแพทย์เด็กจะต้องเรียนรู้และได้รับการอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับพฤติกรรมของเด็กทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพราะเด็กแต่ละคนจะตอบสนองต่อการเข้ารับการตรวจไม่เหมือนกัน สำหรับเด็กบางคนที่ไม่เคยพบหมอฟันมาก่อนอาจเกิดความวิตกกังวล ทันตแพทย์เด็กจึงต้องมีวิธีการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างดี
  4. สามารถสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างตรงจุด รวมถึงแนะนำวิธีการดูแลฟันที่ดีและเข้าใจง่าย นอกจากต้องใช้คำพูดที่เหมาะกับช่วงวัยของเด็กเพื่อไม่ให้เด็กรู้สึกกลัวและรู้สึกดีกับการรักษาสุขภาพฟันของตัวเองแล้ว ทันตแพทย์เด็กจะต้องมีทักษะการสื่อสารที่เข้าใจง่ายเพื่อแนะนำวิธีการรักษาฟันของลูกให้แก่คุณพ่อคุณแม่อย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่นำวิธีจากหมอฟันไปสอนลูกน้อยได้โดยที่เด็กไม่รู้สึกถูกบังคับนั่นเอง
  5. มีทีมผู้ช่วยที่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก นอกจากมีทันตแพทย์เด็กที่เข้าใจและรับมือกับพฤติกรรมในการทำฟันของเด็กได้แล้ว ยังต้องมีทีมผู้ช่วยที่ใจเย็นมากๆ และมีความรู้ความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนของการทำฟันเพื่อช่วยให้หมอฟันทำงานได้รวดเร็วและไม่ทำให้เด็กรู้สึกกลัวการทำฟันอีกด้วย
  6. มีสถานที่เตรียมไว้ให้เด็กเล่นก่อนทำฟัน เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ถึงจะมีทันตแพทย์เด็กที่เก่งและใจเย็นแค่ไหน แต่การสร้างบรรยากาศการทำฟันที่เหมาะกับเด็กก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในควรมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีห้องนั่งเล่นหรือโซน Playland ที่มีของเล่นให้เด็กเลือกเล่นมากมาย หรือแม้แต่ห้องทำฟันที่มีเบาะและเครื่องมือที่เป็นตัวการ์ตูนน่ารักๆ เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายก่อนและระหว่างทำฟันนั่นเอง